บทที่สอง
เมียหม่าหย่งเย็บแก้เสื้ออยู่ใต้แสงตะเกียง หม่าหย่งพลิกตัว แล้วมองท้องฟ้าด้านนอก “แม่จู้จื่อ นอนเถอะ”
“ใกล้จะเสร็จแล้ว…” เมียหม่าหย่งเอาเข็มเขี่ยผม “เสื้อผ้าอาชิวขาดหมดแล้ว เสื้อผ้าของจู้จื่อก็ใหญ่เกินไป นางใส่ของเขาแล้วเสื้อผ้าจะลากพื้นเอา”
หม่าหย่งพลิกตัวแล้วก็ยังนอนไม่หลับ จึงคว่ำหน้าลงบนหมอน แล้วหยิบกล้องยาสูบและถุงยาสูบบนม้านั่งขึ้นมา จากนั้นเติมใบยาสูบจนเต็ม ใช้ตะเกียงจุดไฟ พลางเริ่มสูบมันขึ้นมา
“พ่อตาหนู” เมียหม่าหย่งมองดูหม่าจู้เอ๋อร์ที่กำลังนอนหลับสนิท “หนูน้อยคนนี้หน้าตาดีมาก ข้าว่าจู้จื่อก็ชอบมากเช่นกัน หรือจะให้นางอยู่ที่นี่ ในอนาคตให้เป็นเมียของจู้จื่อ?”
“ข้าไม่กล้าคิดแบบนั้นหรอก!” หม่าหย่งพ่นควันยาสูบออกมา แล้วโน้มตัวเคาะเถ้ายาสูบตรงฐานที่นอน “ข้าเห็นมือแม่หนูคนนี้ผิวนุ่มละเอียด เดินเหินและทำอะไรดูมีสกุลรุนชาติ ดูก็รู้ว่ามิใช่ชาวบ้านอย่างพวกเราจะอบรมเลี้ยงดูออกมาได้…” เขาอัดใบยาสูบจนเต็มอีกครั้ง “แม่จู้จื่อ นางไม่ใช่คนที่จู้จื่อควรคู่ด้วยสักนิด พวกเราก็เลี้ยงดูนางให้ดีเถิด วันหน้าจะได้ส่งตัวนางกลับไปได้”
เมื่อคิดว่ามู่หวั่นชิวที่ดูหิวขนาดนั้น ก็ยังไม่กินตะกละตะกลามเหมือนอย่างหม่าจู้เอ๋อร์ ทั้งกิริยาตอนกินอาหารก็ยังคงเรียบร้อย เมียหม่าหย่งจึงถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนก้มหน้าลงเย็บผ้าต่อ
ทั้งห้องได้ยินเพียงเสียงหม่าหย่งสูบยาสูบ ไม่นานในอากาศก็มีควันลอยฟุ้ง เมียหม่าหย่งวางงานในมือลง ก่อนขยับไปข้างเตียง ยื่นมือไปเปิดประตู และเปิดหน้าต่างอีกหนึ่งบาน จากนั้นจึงกลับมาหยิบเข็มกับด้าย เหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงเงยหน้าขึ้นพูดทันที “พ่อตาหนู ข้าว่าแม่หนูคนนี้ไม่เหมือนเพิ่งจะพลัดหลงกับคนทางบ้าน…”
“หมายความว่าอย่างไร” หม่าหย่งหันมาหรี่ตามองนาง
“จู้จื่อเห็นนางเดินเหินไม่กล้าลงแรง จึงเดาว่าเท้าของนางขึ้นตุ่มน้ำ ถึงได้ต้มยาให้นางแช่เท้า…” เมียหม่าหย่งหยุดงานในมือ แล้วมองหน้าหม่าหย่ง “แม่หนูคนนั้นซ่อนเท้าไม่ให้เห็น ข้าเลยดึงมาดู จุๆ เท้าขาวนุ่มนิ่มสองข้างกลับมีตุ่มน้ำเล็กบ้างใหญ่บ้าง ยังมีแผลสดแดงๆ อีก ฝ่าเท้าแทบจะเละอยู่แล้ว ข้าเห็นแล้วก็ยังปวดใจ” เสียงพูดนั้นชะงักไป “ข้าเห็นตุ่มบางตุ่มแห้งตกสะเก็ดแล้ว คิดว่าคงไม่ได้เพิ่งมีในวันสองวันนี้เป็นแน่”
“เฮ้อ เป็นเด็กที่มีชีวิตรันทด…” คิดถึงตอนที่ได้เห็นมู่หวั่นชิวในป่าเป็นครั้งแรก หม่าหย่งก็ถอนหายใจ “ข้ายังคิดว่าเป็นโจร พอยกมือจะฟาดลงไป นางกลับเบิกตาโต แล้วพูดจาน่าสงสารกับข้าว่า ‘ท่านอา ข้าหิว’ ” เขาสูบยาสูบอีกหลายครั้ง “แม่จู้จื่อ เด็กไม่ยอมบอก พวกเราก็อย่าได้ถามเลย”
“พ่อตาหนู แต่ถ้า…” เมียหม่าหย่งเงยหน้าขึ้น ในดวงตามีความกังวล
“เด็กเล็กขนาดนี้จะมีอะไรได้” หม่าหย่งถอนใจพูด “ได้ยินคนในหมู่บ้านพูดบ่อยๆ ว่า คนร่ำรวยในเมืองเหล่านั้น ชอบมีบรรดาเมียเล็กเมียน้อย แต่ละคนก็มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งยังสวยขึ้นเรื่อยๆ บางทีนางอาจจะเป็นลูกของเมียน้อยก็ได้”
“ก็จริง…” เมียหม่าหย่งเข้าใจเรื่องราวในทันที “ไม่แน่ว่าอาจจะถูกแม่เลี้ยงไล่ออกมา แม่หนูคนนั้น…อย่าเห็นว่านางเป็นคนตัวเล็กๆ เป็นอันขาด จริงๆ แล้วนางแข็งแกร่งมาก นิสัยก็ไม่ยอมแพ้ ข้าใช้เข็มสะกิดตุ่มน้ำให้ นางเจ็บจนขบฟันแน่น น้ำตากลิ้งไปมาที่ขอบตา แต่นางกลับทนไม่ยอมให้มันไหลลงมา และไม่ร้องออกมาสักแอะ ข้าเห็นแล้วก็ปวดใจ นางยังเอาแต่ปลอบใจข้า ‘อาหญิง ท่านออกแรงสะกิดเลย ข้าไม่เจ็บหรอก’ “เมียหม่าหย่งจุปาก “นี่เหมือนเด็กอายุสิบสามเสียที่ไหนกัน ข้าว่าเหมือนคนที่ผ่านคลื่นลมครั้งใหญ่มามากกว่า”
“เป็นเด็กที่ไม่มีแม่คอยดูแล!” หม่าหย่งสูบยาสูบอย่างแรง “แม่จู้จื่อ พวกเราอย่าใจร้ายอย่างนั้นเลย เราไม่ได้ขาดอาหาร หากเด็กคนนี้ไม่ขอไป พวกเราก็อย่าไล่นางเลย” โน้มตัวลงเคาะเถ้ายาสูบกับข้างเตียง แล้วยื่นปลายกล้องยาสูบเข้าไปในถุงยาสูบเพื่อใส่ใบยาสูบ เมื่อคิดสักครู่ก็ชักออกมา แล้วใช้เชือกเส้นเล็กบนถุงยาสูบผูกกล้องยาสูบกับถุงยาสูบเข้าด้วยกัน จากนั้นวางไว้บนม้านั่ง “แม่จู้จื่อ นอนเถอะ” แล้วพูดต่อไปว่า “เห็นมือขาวนุ่มนิ่มของนางแล้ว คงไม่ใช่คนที่ทำงานหนักเป็นแน่ พวกเราก็เลี้ยงนางเป็นลูกสาว เจ้าก็อย่าได้บังคับให้นางทำงานหนักนักเล่า”
“ฟังเจ้าพูดเข้าสิ เด็กน่ารักขนาดนี้ ข้ารักนางแทบไม่ทันด้วยซ้ำ จะให้นางทำงานหนักได้อย่างไร” เมียหม่าหย่งมองค้อนสามี แล้วเก็บเข็มกับด้ายในมือ “ถ้าพวกเรามีลูกสาวน่ารักอย่างนี้อีกสักคนก็ดีสินะ”
หม่าหย่งมองนางแวบหนึ่ง แล้วหันหลังให้นาง นอนกรนหลับไป